เล่าสู่กันฟัง ประสบการณ์การสอบ CU-TEP

August 16, 2008

ต่อเนื่องจาก post ก่อนหน้านี้ “ว่าด้วยการสอบ CU-TEP ซียู-เทพ” มาคราวนี้ขอคุยเรื่องเทคนิคการทำข้อสอบคร่าวๆ ละกัน บอกไว้ก่อนว่าในฐานะคนเคยมีประสบการณ์นะ ไม่ไช่ “เทพ” แต่ประการใด อิอิ ไม่รู้ว่าตอนนี้จะเปลี่ยนรูปแบบไปหรือยังนะ แต่คิดว่าคงเหมือนเดิมแหละ ต้องเข้าไปดูอับเดทในเว็บเองละกัน

ข้อสอบมี 3 Part นะ (ไม่มี Speaking ส่วน Writing ก็ไม่ได้เขียน Essay ดังนั้นไม่ต้องกังวลมาก) ตอนสอบเค้าจะแจกให้ทำทีละ Part  คือหมดเวลาก็เก็บข้อสอบ แล้วแจก part ต่อไปให้เลย) เริ่มกันเลย

Part 1 – Listening
30 ข้อ (30 นาที)
Short dialogue, Long dialogue, Monologue

เป็น part แรกที่สอบ เค้าแจกกระดาษคำตอบให้ แล้วพอได้เวลาทำข้อสอบ เค้าจะเปิดเสียงให้ได้ยินทุกคนและทำไปพร้อมกันเลย เริ่มด้วยการฟังโจทย์หรือบทสนทนา แล้วก็ต่อด้วยคำถาม พอถามจบก็จะเว้นระยะเวลาว่างไว้ให้ฝนตอบนิดหน่อย (ประมาณ 15 วินาทีได้)

คนที่เคยสอบ listening ของ toeic มามักจะถามว่า ความยากง่ายแตกต่างกันมากมั๊ย ขอบอกว่า Short dialogue ของ cu-tep จะใกล้เคียงกัน (แต่ยากกว่านิดหน่อย) แต่ Monologue ยากง่ายพอๆ กับ toefl เลยทีเดียว เพราะว่าเนื้อหาจะออกแนววิชาการหรือบทสนทนาที่ัมักจะได้ยินในสถานศึกษา เช่น การฟัง lecture การสนทนาโต้ตอบในห้องเรียน การคุยกับ professor การอภิปราย บรรยาย ข่าวสารวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี หรืออะไรที่ออกแนวความรู้ๆ หน่อย (เช่นเดียวกับ toefl) ซึ่งจะแตกต่างจาก toeic ตรงที่ toeic จะเน้นไปทางบทสนทนาที่ใช้ในชีวิตประำจำวันมากกว่า เช่น ทักทาย ถามทาง ขอความช่วยเหลือ รับโทรศัพท์ ประกาศ ฯลฯ ที่ยากอีกอย่างนึงคือ โจทย์จะให้ฟังรอบเดียว แล้วถามหลายข้อ ถ้าโจทย์ยาวมากก็ลืมได้ว่ามันพูดเรื่องอะไร ฉะนั้นแนะนำให้ take note ไปด้วย พวก keyword ที่สำคัญๆ Part นี้การบริหารเวลาแต่ละข้อให้ดีสำคัญมาก

วิธีที่แนะนำสำหรับ Part นี้คือก่อนที่เสียงโจทย์จะเริ่มขึ้น ให้อ่าน choice ก่อน บางทีการอ่าน choice ก่อน เราก็พอจะเดาได้ว่าโจทย์จะถามอะไร ลอง skim แบบเร็วๆ ทุกข้อ แล้วพอเสียงเริ่มขึ้น ก็ตั้งใจฟังดีๆ มีบางทีเหมือนกัน โจทย์เดียวกัน เปิดรอบเดียว แต่ต้องเอาไปตอบถึง 5 ข้อ ถ้าเราสามารถอ่าน choice ได้หมดก่อนที่โจทย์จะเริ่ม จะมีประโยชน์มาก เพราะบางที เนื้อหาในโจทย์ที่ฟังช่วงแรกๆ อาจจะเป็นคำตอบของข้อ 4 หรือ 5 ได้ ถ้าเจอแบบนี้ก็ทำข้อ 4-5 ก่อนเลยก็ได้ แล้วฟังต่อไปเรื่อยๆ เพื่อทำข้อที่เหลือ อีก trick นึงคือ พอได้คำตอบแล้ว อย่าพึ่งไปตั้งหน้าตั้งตาฝนคำตอบ ให้ขีดทะแยงง่ายๆ ไปก่อน หรือกากบาทก็ได้ เอาเวลาที่จะฝนๆๆ เนี่ยไปอ่าน choice ของข้อถัดไปรอดีกว่า เพราะเมื่อโจทย์ครบทุกข้อแล้ว จะมีเวลาซักพักก่อนที่เค้าจะเก็บกระดาษคำตอบ เราก็ค่อยมาฝนช่วงนี้แหละ trick นี้ work ชัวร์!

แต่ถ้าใครเคยสอบ toefl มา ก็ไม่ต้องห่วงเลย เพราะ cu-tep พูดช้ากว่าเยอะ แต่ทั้งนี้ต้องขึ้นอยู่กับห้องที่สอบด้วย เนื่องจากสนามสอบมีอยู่หลายที่ ทั้งในจุฬาเองและข้างนอกด้วย (เช่น สนามกีฬาแห่งชาติ, โรงเรียนสาธิต เป็นต้น) ดังนั้นเสียงที่เปิดจะขึ้นอยู่กับเครื่องเสียงในห้องนั้นๆ บางทีห้องเล็กอาจจะเสียงก้อง ห้องใหญ่มากอาจจะได้ยินไม่ชัด หรืออะไรก็แล้วแต่ ฉะนั้น เวลาสอบต้องตั้งสติให้ดี อย่าใจลอย (แนะนำให้นั่งสมาธิก่อนเข้าห้องสอบสัก 10 นาที อาจจะช่วยได้) อย่ารนเพราะไม่งั้นจะพลาดหลายข้อเลย

Part 2- Reading
60 ข้อ (70 นาที)
Cloze reading, Short text, Long text

Part นี้ ส่วนตัวคิดว่ายากที่สุด เพราะทำไม่ทัน จำได้ว่าไม่ได้อ่านไป 1 passage เต็มๆ (ประมาณ 10 ข้อได้) ต้องเดาเอาอย่างเดียว เสียไปฟรีๆ  10 คะแนน อย่างเซ็ง

Cloze test จะให้เติมศัพท์ในช่องว่าง อันนี้เหมือนจะง่าย แต่ศัพท์ก็ยากไม่เกรงใจใคร ทำได้จริงๆ แค่ครึ่งเดียว ที่เหลือเดา ส่วน Short Passage เหมือนจะง่ายอีกแล้ว เพราะไม่ยาวมาก ปรากฏว่าอย่างยากครับ พอ Long Passage ที่ยาวมากๆๆๆ หน้ากว่าๆ ตอนแรกเห็นแล้วท้อ เลยกะเอาไปทำทีหลัง แล้วทำข้อ passage สั้นๆ ไปก่อน ปรากฏว่าไอ้ที่ยาวๆ ง่ายกว่าัั้ตั้งเยอะ หลอกกันนี่หว่า แอบเซ็งอีกรอบ

แต่ part นี้ต้องขึ้นกับบุญกับกรรมตั้งแต่ชาติปางก่อนด้วยแหละ แต่ละครั้งอาจจะเจอเรื่องที่เราพอรู้เรื่องบ้าง อย่างผมเจอเรื่องเกี่ยวกับไอทีหน่อย ก็สบายเลย เพราะศัำพท์ก็คุ้นๆ อยู่แล้ว แต่ถ้าเจอพวกประวัติศาสตร์ สังคม วัฒนธรรม วิทยาศาสตร์ อะไรเทือกนี้ โง่แดก ไ้อ้ที่ยากอีกอย่างคือพวกให้ refer กับ imply ว่ามันหมายถึงอะไร เช่น they ในบรรทัดนี้ refer ถึงอะไร

Trick สำหรับ part นี้แนะนำให้ทำบุญเยอะๆ 555 ให้ดูนาฬิกาให้ดีนะครับ บริหารเวลาให้ดี อย่ามัวไปเีสียเวลากับข้อๆ เดียวหลายนาที เพราะบอกไว้เลยว่าถ้าใครอ่านทันหมด ทำได้หมด ถือว่าเทพมากๆ พอเริ่มทำข้อสอบ ให้เปิดดูก่อนเลยครับ อย่างเร็วๆ เพื่อดูว่าเราจะทำส่วนไหนก่อนดี ถ้าเป็น passage ก็ดูว่าเรื่องไหนที่น่าจะง่ายสำหรับเรา เรามีความรู้บ้างอยู่แล้วก็ทำเรื่องนั้นไปก่อน เรื่องไหนยากก็เอาไว้ทำทีหลัง ข้อไหนทำไม่ได้ก็ข้าม มีเวลาเหลือค่อยกลับมาทำ ไม่ทันก็เดา อยากให้ทำอ่านครบให้หมดทุกเรื่องก่อนแล้วค่อยกลับมาเก็บตก อย่าไปทำทีละ passage แล้วหมดเวลา กลายเป็นว่า เรื่องหลังๆ ไม่ได้แตะเลย ซึ่งอาจจะเป็นเรื่องที่ง่ายที่สุดก็ได้ อ้อ แล้วก็ข้อไหนมั่นใจก็ฝนไปเลย ข้อไหนมั่นใจแค่นิดหน่อยหรือรู้สึกว่าน่าจะใช่ก็ขีดคร่อมไปก่อน แล้วค่อยมาเก็บตกทีหลัง ถ้าหมดเวลาจริงๆ จะได้ฝนไปเลย

part นี้ขอบอกว่าปวดคอมากๆ ก้มตลอด ตอนสอบก็เตรียมตัวบริหารคอให้ดีล่ะ แล้วถ้าได้สอบห้องเล็กหรือว่าซวยได้นั่งตรงที่แอร์ตกพอดีก็ซวยไป ถ้าไม่เอาเสื้อหนาวไปก็นั่งสั่นทำข้อสอบไม่รู้เรื่องเหมือนผม 555 คะแนนออกมาได้ไม่เยอะเท่าไหร่ รู้ชะตากรรมตั้งแต่ตอนทำข้อสอบแล้วล่ะสำหรับ part นี้ อิอิ

Part 3 – Grammar (Writing)
30 ข้อ (30 นาที)
Error Recognition

Part นี้สำหรับผมว่าง่ายสุดแล้ว ไม่ต้องเขียน essay เหมือน TOEFL หรือ IELTS ด้วยซ้ำ เป็นแค่ error recognition หาว่าข้อไหนผิด แต่บางคนบอกว่า part นี้ยากสุด อันนี้ก็แล้วแต่ความถนัด เพราะบางคนอาจจะ grammar ไม่ค่อยแม่น อาจทำ part นี้ไม่ได้เยอะ

ข้อสอบมี 30 ข้อ มีเวลาข้อละนาีที แต่โจทย์สั้นๆ แค่บรรทัดเดียวสองบรรทัด ถ้าใครแม่น grammar มองแว๊บแรกก็รู้คำตอบแล้ว แต่ถ้าใครไม่แม่น บอกได้เลยว่าแต่ละข้อจะเสียเวลามากๆ นั่งงมอยู่นั่นแหละ เพราะบางข้อที่ผมทำไม่ได้ก็งมอยู่นานเหมือนกัน อ่านโจทย์แล้วก็ไม่รู้จะเลือกอะไรดี สองจิตสามใจ แล้วแต่ละข้อก็ช่างเข้าใจหลอกกันเหลือเกิน

trick สำหรับ part นี้ ก็คงพยายามอ่านให้ได้ครบทุกข้อก่อน ข้อไหนไม่ได้ค่อยกลับมาทำ แล้วแต่ละข้อ ก็พยายามตัด choice ที่เรามั่นใจชัวร์ๆ ว่าไม่ผิดแน่นอนออก (โจทย์ให้หาว่าข้อไหนผิด) ให้เหลือน้อยที่สุด แล้วถ้าไม่ได้จริงๆ ก็ค่อยเดา หลักการเดา part นี้ อันนี้โดยส่วนตัวนะ (อย่าเชื่อมาก เดี๋ยวจะซวย 555) คือผมจะเลือกข้อที่คิดว่าน่าจะถูก (เพราะข้ัอสอบชอบหลอกเราแบบเนียนๆ) อะไรที่ดูแว๊บแรกว่าน่าจะผิดมักจะถูก อะไรที่เหมือนจะถูกกลับผิด เหอะๆ

ครบทุก part แล้ว 120 ข้อ กับ 130 นาที ทีนี้ก็กลับบ้านไปนั่งลุ้นคะแนนต่อไป ประมาณไม่เกินสองอาทิตย์ ก็เข้าไปเช็คคะแนนได้ที่เว็บ แล้วเค้าก็จะส่งคะแนนไปให้ที่บ้านด้วย พร้อมเปรียบเทียบเป็นคะแนน TOEFL ให้ด้วย แต่ผมว่าเชื่อถือไม่ได้เท่าไหร่หรอก เพราะ TOEFL ยากกว่าเยอะ แถมมี speaking กับ writing – essay ด้วย

แนะนำเพิ่มเติม

  • แต่งตัวเข้าสอบให้ดูเรียบร้อยนิดนึง ไม่ต้องถึงขนาดผูกไทด์ใส่สูท เอาแค่ชุดที่ดูสุภาพก็พอ ที่คิดว่าเหมาะอ่ะ อย่าใส่รองเท้าแตะ กางเกงขาสั้นเลย ถ้าเจอคนคุมเฮี้ยวๆ หน่อย อาจจะไม่มีสิทธิ์เข้าห้องสอบได้
  • ถ้าได้ห้องสอบเป็นห้องเล็ก แนะนำให้เอาเสื้อคลุมไปด้วย ยิ่งถ้าได้นั่งตรงแอร์พอดี อาจจะไม่มีสมาธิในการทำข้อสอบก็ได้ เพราะมัวแต่นั่งสั่นอยู่
  • อย่าลืมเตรียมเอกสารที่เค้าระบุไปให้พร้อม ดินสอ 2B ด้วย (ตามสถานที่สอบปกติจะมีคนมาขายด้วย เผื่อมีคนลืม)
  • ถ้าใครสอบแล้วคิดว่าไม่น่าผ่าน แถวๆ ตึกสนามสอบมักจะมีคนแจกใบปลิวสถานที่รับติวเยอะแยะ ลองเอามาดูเผื่อจำเป็นต้องใช้บริการ อิอิ

อีกคำถามที่คนชอบถามคือ ถ้าไม่เก่งภาษาเอาซะเลย ควรเสียเงินติวดีมั๊ย?
อันนี้ก็บอกยากเนอะ เพราะไม่รู้ว่าที่บอก “ไม่เก่ง” เนี่ย มันเลวร้ายแค่ไหน ถ้าใีครไม่ค่อยมีปัญหาเรื่องเงินทอง แนะนำให้สมัครสอบเล่นๆ ดูก่อน เพื่อดูแนวข้อสอบ (400 เองเนอะ กลัวอะไร 55) เพราะปกติเค้าก็สอบกันหลายครั้งอยู่แล้วกว่าจะได้คะแนนที่พอใจ (คะแนนก็เก็บได้ตั้งสองปี) คะแนนออกมาจะได้รู้ว่าตัวเองต้องฟิตเพิ่มเติมอีกมากน้อยแค่ไหน หรือว่าแค่สอบเ่ล่นๆ ก็ผ่านแล้ว เืพื่อนผมภาษาไม่ค่อยดีเท่าไหร่ ไปสอบแบบไม่ได้เตรียม คือก่อนสอบก็กินเหล้าอยู่เลย ก็ยังเกือบผ่าน ผมแนะนำให้ซื้อหนังสือเตรียมสอบมาอ่านเองก็ได้ เล่มที่แนะนำจำรายละเอียดไม่ได้ แต่เป็นเล่มสีชมพูเนี่ยแหละ ของศูนย์หนังสือจุฬามั๊ง จะมีซีดี part listening ให้ด้วย ประมาณ 200-300 นอกจากรวมข้อสอบเก่าแล้ว ยังบอก trick ในการทำข้อสอบด้วย อ่านเล่มนี้เล่มเดียวก็น่าจะพอแล้วมั๊งผมว่า ยังไงก็ขอให้โชคดีละกันนะครับ ขอให้ผ่านกันทุกคน

Post ที่เกี่ยวข้อง: ว่าด้วยการสอบ CU-TEP ซียู-เทพ

13 Responses to “เล่าสู่กันฟัง ประสบการณ์การสอบ CU-TEP”

  1. Pommie Says:

    ขอบคุณมากนะค่ะทุกอย่างที่โพสไว้เป็นประโยชน์มากเลยค่ะ

  2. Rosie Says:

    จะหาตัวอย่างข้อสอบดีๆ ได้จากที่ไหนดีค่ะ
    ขอบคุณล่วงหน้าคะ

  3. rachanon Says:

    ตัวอย่างข้อสอบ ลองเดินดูตามร้านหนังสือก็ได้ครับ มีหนังสือเตรียมสอบ cu-tep หลายเล่ม ลองเปิดๆ ดูแนว ไม่ต้องซื้อก็ได้ เล่มสีชมพู (ที่แถมซีดีด้วย) ก็โอเคนะ

  4. Aey Says:

    Thank you for your advice, I have a plan to take the exam in the near future,may be on 2 Nov.2551.I haven’t prepared anything before ,so I have to pray more ,right?

    part นี้ต้องขึ้นกับบุญกับกรรมตั้งแต่ชาติปางก่อนด้วยแหละ

    By the way,when I finished and also passed the exam,I’ll tell you.

    P.S.I would like to study in MBA hospital and health care management at CU

  5. aae Says:

    ขอบคุณนะค่ะ กำลังจะสอบเดือนหน้า แบบดุ่มๆไปสอบเลย ลองดูก่อน เหอๆ

  6. รู้สึกไม่ประทับใจในการสอบ CU TEP Says:

    ขอเน้นการทำข้อสอบ CU TEP ต้องใช้เวลาในการทำข้อสอบให้ตรงเวลา อย่าได้ทำเครื่องหมายไว้แล้วค่อยกลับมาฝนในวงกลม เพราะว่าจะไม่ทันในการฝนวงกลมในกระดาษคำตอบ เพราะผู้คุมสอบโหดมากเก็บกระดาษข้อสอบทันที เมื่อบอกว่าหมดเวลา

  7. october15 Says:

    Thank you for your advice me. I will to buy that pink book and prepair before test. IF I past it I wiil teel you. buy

  8. pai Says:

    กำลังจะไปสอบค่ะ เลยมาแอบอ่าน เอาไป เผื่อว่ากรรมจะเยอะกว่าบุญแล้วจะทำอะไรไม่ได้เรื่องเลย
    ขอบคุณสำหรับการแชร์ประสบการณ์นะคะ

  9. Anonymous Says:

    -ขอบคุณมากเลยที่บอกเทคนิคจะสอบเสร์นี้แล้วยังมืดคด้านพอดีมีน้องฃที่หอมีหนังสือccu-tepเลยยืมวีรอกดูจะสอบไปเทนสิงค์โปร เดือนหนึ่งแล้วกลับมาprasentงานคิดว่าน่าจะดีขึ้นฮิๆๆๆ(ไม่ก็แย่กว่าเดิม)จะได้รู้ศักยภาพตัวเองค่า

  10. Anonymous Says:

    ขอบคุณจะเตรียมตัวไปสอบอยู่พอดีเลย แต่รอบนี้สมัครไม่ทันแว้ววว

  11. hallohaaa Says:

    ขอบคุณค่ะ สำหรับเทคนิกและประสบการณ์ที่เล่าสู่กันฟังงง…!!^^
    จะไปสอบปีนี้แหละค่ะ ตุลา 54

  12. เฮ้อ! Says:

    เราเป็นคนเรียนภาษาอังกฤษแย่มากๆ ได้ เกรด eng ซึ่งที่เรียนมันบังคับเรียน 4 ตัว เหมา dog มาหมดเลยค่ะ โดยเฉพาะตัวที่สามนั้นเรียนตั้ง 3 รอบกว่าจะผ่านมาได้น้ำตาแทบไหล ทีนี้คณะที่เราจะสอบเข้าไป(โท)เขาเอาคะแนน cu-tep 450 คะแนน เราก็ว่าคะแนนก็ไม่มากนะ แต่ศักยภาพด้านภาษาที่เรามีมันต่ำเหลือเกินเลยไม่มีกำลังใจที่จะไปสอบน่ะค่ะ ก็ได้แต่ถอนหายใจ

  13. wen Says:

    ขายหนังสือมือสอง Admission Gat-Pat CU-TEP CU AAT Textbook

    http://writer.dek-d.com/wendynatha/writer/view.php?id=1115543


Leave a comment